ฝรั่งเข้าใจ คนไทยเก็ท

4 โรคทางภาษา จากหนังสือ ฝรั่งเข้าใจ คนไทยเก็ท

เอาล่ะครับมาถึง part 2 กันแล้วใครยังไม่เคยอ่าน part 1 จัดเต็มตรงนี้เลย [สรุปการเรียนรู้] ฝรั่งเข้าใจ คนไทยเก็ท part 1 มาคราวนี้จะฮาขนาดไหน จะแป้กอีกหรือเปล่า ( นั่นสิ ) ซึ่งบทนี้คงจะมาเน้นเจาะลึกกับโรคต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการพูดภาษาอังกฤษ ของพวกเราคนไทยที่เป็นกันเยอะ ( ผมคือหนึ่งในนั้นด้วย ! ) แต่ละอันจะฮาขนาดไหน เราจะแก้ไขได้ไหม ? แล้วเวลาเป็นโรคพวกนี้อาการออกมาเป็นอย่างไร ? โอ้ย !? เยอะ ! อย่าห่วงไปเลย ไปลุยกันเลยดีกว่า

การออกเสียงสำคัญไฉนใน ฝรั่งเข้าใจ คนไทยเก็ท

ถึง แม้ผมจะบอกพวกคุณว่าให้พยายามสื่อสารให้ฝรั่งเข้าใจ แต่การฝึกออกเสียงนั้นก็จะเป็นอีกขั้นที่ทำให้คุณนั้นสามารถพูดภาษาอังกฤษ ได้ดี ถึงไม่มีก็ไม่ตายแต่ว่า ! มันก็ควรจะออกเสียงให้ถูกต้องถ้าเป็นไปได้ คือ สำเนียงอาจจะไม่เหมือนเจ้าของภาษาก็ช่างมัน แต่ต้องคิดว่าออกเสียงให้ใกล้เคียงหรือเหมือนได้เลยก็ยิ่งดี ผมมีตัวอย่างทั้งสองแบบไม่ว่าคนไทยพูดอังกฤษแล้วผิด กับฝรั่งพูดไทยผิด อ่ะเราไปดูประโยคแรกกัน

example1 เหตุการณ์เกิดขึ้นว่ามีเพื่อนคุณซื้อรถ Honda city ซึ่งคุณและเพื่อนคุณอีกคนเห็นและก็คุยกับเพื่อนคนที่เป็นเจ้าของรถว่า

“I like your Honda shitty !”

โอ้ ว ! แปลว่าเพื่อนเราเนี้ย อาจจะเจอเจ้าของรถโกรธได้ อารมณ์ประมาณไปเหน็บแนม ใครไม่ทราบคือ shit = ขี้ ประมาณนั้นเลยครับ เพราะว่าเพื่อนคุณนั้นอาจจะออกเสียงผิด อันนี้ก็อาจจะเกิดการเข้าใจผิดได้แค่เรื่องออกเสียง

example2 ฝรั่งคนหนึ่งในร้านอาหาร สั่งอาหารมาและต้องการ “น้ำจิ้ม” จึงเรียกน้องเ็ด็กเสิร์ฟมาบอกว่า

“น้องๆ พี่ขอน้ำจิ๋มหน่อย”  OMG!!!

น้องเด็กเสิร์ฟคงคิดว่าอีฝรั่งนี่มันลามกมาก ฮ่าๆ ไม่ก็ขำๆกันไป

เห็น ไหมครับสำหรับตัวอย่างง่ายๆที่คุณคงอ่านแล้วเห็นภาพทันทีว่ามันก็สำคัญนะเออ อย่ากังวลว่าต้องออกเสียงให้เหมือน native หรือว่าเจ้าของภาษา คุณคริสเขาเขียนไว้ว่า แต่ละถิ่นก็ออกเสียงไม่เหมือนกัน แค่คำว่าน้ำ ( water ) มีทั้ง โวเทอร์ , วอเต้อร์ ( คนไทย ) , วอเดอร์ , โวดะห์ แล้วคุณจะเกิดคำถามว่าถ้ามันเยอะอย่างนี้แล้วฝรั่งจะรู้ได้อย่างไรโอเคไม่ เป็นไรครับ เขามีทางออกให้คุณแก้ปัญหาสำหรับการอธิบายคำต่างๆถ้าฝรั่ง เขาไม่เข้าใจจริงๆ มีอยู่ 3 ทางครับ

1. spell the word ไม่เข้าใจก็สะกดทีละตัวอักษรเลยเอ้า !

2. body language ภาษากาย กอดจูบลูบคลำ ใช่ที่ไหนล่ะ !! ก็พยายามทำท่าทางหรืออะไรที่สื่อความหมายของคำนั้นๆ

3. explain and expand อธิบายเข้าไป จะอ้อมจะตรงจะเยอะก็พูดไปเถอะ ดีกว่าเงียบครับ อธิบายมันคล้ายๆอะไร เหมือนกับอะไร

4. write or draw it วาดแหม่งเลย ! แต่ถ้าคุณดันเกิดมาทักษะนี้มันเป็นหมันตั้งแต่กำเนิดก็คงต้องทำใจก็พยายาม mix ไอ้ข้อข้างบนเข้าไปด้วยครับ

5. Run away ! ใช่ครับ วิ่งหนีแหม่งเลย ถ้าทำทุกข้อที่คุณพยายามแล้วไม่ได้ก็อย่าไปคุยเลย ฮ่าๆ ( อันนี้จริงๆนะในหนังสือก็เขียนไว้จริงๆ ไม่ได้ตีไข่ใส่สีแต่อย่างใด >3< )

4 โรคทางภาษาอังกฤษจากหนังสือ ฝรั่งเข้าใจ คนไทยเก็ท

คุณคริสเขาได้แบ่งออกเป็น 4 โรคครับ ดังนี้

  • ‘S’ Syndrome
  • ‘L’ or ‘R’ Syndrome
  • ‘Garan’ Syndrome
  • ‘Hi-Lo’ Syndrome

เอาล่ะ ! เราไปดูกันเป็นข้อๆไปเลยว่าแต่ละอันคืออะไร

‘S’ Syndrome

คน ไทยเราคงติดหลายคำที่ออกเสียงติด S กันบ่อยมาก คำไหนไม่ออกก็ดันออก คำไหนต้องออกกลับไม่ออก ประมาณนั้นเลยผมก็เป็นบ่อยนะครับ เหตุเกิดของโรคคงมาจากการเรียนสมัยเด็กๆแหละครับ คุณครูคงเน้นเรื่อง Singular ( เบาๆ ) กับ Plural และพวก Apostrophe S พวกแสดงความเป็นเจ้าของแหละครับ แล้วมันร้ายแรงไหม งั้นผมจะให้ดูประโยคนี้

“In the morning. I brush my tits !”

แทนที่คุณต้องการจะบอกว่า ว่าแปรงฟัน อาจจะเป็นคำหมายว่า แปลงหัวนม !!! ไปซะงั้นอ่ะ

‘L’ , ‘R’ Syndrome

อัน นี้คงผิดตั้งแต่ภาษาไทยเลย เพราะว่าทุกวันนี้เรามักจะใช้สลับ หรือไม่ก็ใช้แต่เสียงตัว ล อย่างเดียวเท่านั้น เพราะเราเรียนมาว่ามันเขียนอย่างไร แต่ก็ไม่ออกเสียงเพราะคิดว่าคนที่เราสื่อสารนั้นสามารถเข้าใจได้เลยว่าเรา หมายถึงอะไร เช่น คำว่า ราวตากผ้า เราก็มักจะไม่ออกเสียงตัว ร และไม่ได้กระดกลิ้น กลายเป็นว่าถ้าเราทำเพื่อนเราจะด่าเราอีกว่ากระแดก แง่ว ! ราวตากผ้าไม่เท่าไรแต่ถ้า ราวหรือปลั๊ก ( ก็เก็บไว้ถามแฟนดีกว่า ฮิ้ว !! ) ซึ่งคำที่มีตัว R ก็ให้คุณกระดกลิ้นเหมือนในไทยแต่ไม่ต้องเยอะ OK ? ( แรดหน่อย ฮ่าๆ )

‘Garan’ Syndrome

โรคตัวการันต์ จริงๆแล้วคิดว่ามันไม่ผิดหรอกที่เอาตัวการันต์มาใส่แต่มันทำให้เราอ่าน แล้วออกเสียงลำบากมากกว่า ไม่ใส่เลย จริงๆดูจากตัวอย่างคำต่อไปนี้ Lice, Like, Life, Light ( ไลซ์, ไลค์, ไลฟ์, ไลท์ ) ถ้าเราไม่นับตัวการันต์เป็นไงครับแน่นอน ไล้ ไล้ ไล้ ไล้ ไล้ ทุกตัว ยิ่งบางคนเป็นโรค ‘L’ , ‘R’ Syndrome ไปกันใหญ่เลยคราวนี้จะเกิดอะไรขึ้นดูครับ Rice, Like, Light, Right, Lice, Ripe, Life, Ride คิดดูว่าคนที่เป็นสองโรคจะออกเสียงว่าอะไร

‘Hi-Lo’ Syndrome

ไม่ ใช่ผีพนันแต่อย่างใด แต่เป็นการออกเสียงกลาง ต่ำ เพราะบางเสียงนั้นเสียงสั้นด้วยอย่างคำว่า foot กับคำว่า food อย่างนี้เป็นต้นครับ

ทางแก้ไข

อาจจะมีสองแบบหลักๆคือ อย่างแรกคุณฝึกออกเสียงคนเดียวแล้วฟังการออกเสียงหรือให้คนฝึกสอนที่เป็นผู้ เชี่ยวชาญฟังแล้วแก้ไขครับ หรืออย่างที่สองคือ เรียนจากฝรั่ง ถ้าไม่มีฝรั่งแถวบ้านก็เช่าหนังมาดูครับ ฟังให้ชินหูแล้วเราจะรู้ครับว่ามันออกเสียงอย่างไร ฝึกฝนเท่านั้นครับถึงจะประสบผลสำเร็จ : )

สรุป

เราก็ได้เรียน รู้กันไปอีกขั้นหนึ่งสำหรับการออกเสียง และโรคทางวาจาของคนไทย และทางแก้ไขก็หวังว่าเราๆท่านๆจะฝึก ( ผมก็พยายามอยู่ฮ่าๆ ว่าจะแอดฝรั่งมาลองคุยกันดูเหมือนกัน ) ก็อย่ากลัวครับ เหมือนเดิมกล้าเข้าไปทัก กล้าเข้าไปคุยหรือมีเพื่อนฝรั่งก็พยายามคุยดู คนเราเรียนรู้จากความผิดพลาดครับ ฝรั่งบางทีเขาแก้คำให้เราด้วยก็ดีเลยสองเด้ง ( ป๊อก 9 เฮ้ย ! ไหนบอกไม่พนัน โทษทีนะครับเชื่อเจ้ามันแรงส์ ) ก็ฝากไว้สำหรับ part2 นี้ครับครั้งหน้าเราจะไปเล่นปิงปองกับฝรั่งกันแต่ไม่ได้ตีกันจริงๆหรอกเป็น อย่างไรติดตามครับ

หากสนใจหนังสือสามารถซื้อได้ที่นี่เลยครับ

https://www.se-ed.com/product/%E0%B8%9D%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88-%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%97.aspx?no=9789749698181

Loading

เป็นโปรแกรมเมอร์ที่ตามหาคุณค่าของชีวิตและความฝันในวัยเด็ก ชอบเล่นเกม เรียนรู้ทุกอย่าง ชอบเจอคนใหม่ๆ งานสังคมทุกชนิด ออกกำลังกายในวันว่าง อ่านหนังสือ มีเว็บรีวิวหนังสือด้วย www.readraide.in.th