ผมได้เห็นหลายๆคนนั้นอยากสัมผัสประสบการณ์นี้ ไม่ว่าการที่เราจะมีบ้านเป็นของเราเอง สามารถหาเงินได้เยอะๆมากพอที่เรารู้สึกได้ว่ามันเยอะ และใช้เวลาทำอย่างอื่นที่ไม่ใช้งานที่เราไม่ได้รัก ( แต่ต้องทำเพราะไม่ทำไม่มีเงิน ) เป้าหมายอันหอมหวาน มันน่าหลงใหล มันน่าเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจ และเราได้ก็ “เห็น” ว่าคนที่ไปถึงเส้นชัยนั้นในความคิดเรานั้นมีหลายคนเลยทีเดียว และไม่ต้องบอกเลยว่าเราก็อยากได้มันเช่นกัน ( ฮา )
ความสำเร็จอยู่ใกล้จริงหรอ ?
มีคนหลายๆคนในชีวิตผมบอกว่า “shortcut ความสำเร็จไม่มีหรอก ถ้ามีตูคงทำแล้วแหละ” แน่นอนครับว่าวันนี้ผมไม่ได้จะพาคุณไปฟังการประชุมแล้วตบมือพร้อมๆกับเอา รถยี่ห้อแพงและบ้านที่กว้างเป็นไร่ ให้คุณต้องเพ้อฝัน หรือยศตำแหน่งระดับเพชรนิลจินดาที่จะทำให้คุณไปเที่ยวต่างประเทศได้ทุกปี
แต่วันนี้ … ผมจะมา *ทำท่าแอบกระซิบ* บอกว่าจริงๆแล้วมันมี shortcut ที่ใกล้ตัวคุณมากๆเลยแหละ เพียงแต่คุณไม่ได้สังเกตุหรือไม่ได้ชื่นชอบมันเท่าไร เพราะว่ามันยังไม่ได้ผลิดอกออกผลให้กับคุณเหมือนอย่างที่คุณได้ไปเห็น ของชาวบ้านเขาครับ
นั่นก็คือ … “อ่านหนังสือ” ( หลายๆคนอ่านถึงตรงนี้ทำหน้าอี๋เหมือนเหยาหมิง ) มันไม่ใช่ยาขมเหมือนที่ผมเคยคิด และผมได้ค้นพบแล้วว่าเนี้ยแหละคือหนทางที่ทำให้เราไปเจอกับเป้าหมายครับ เพราะอะไรน่ะหรอ ผมจะบอกคุณให้ฟังครับ
1.อ่านหนังสือที่เป็นประวัติบุคคล
มันทำให้คุณได้เรียนรู้ “ความล้มเหลว” และเส้นทางที่ทำให้คุณ “ท้อแท้” เพราะอะไรรู้ไหมครับ คนไทยส่วนใหญ่นั้นมักมองไม่เห็นว่าเบื้องหลังของหลายๆคนนั้นมันก็มาจาก การที่เขากัดฟัน อดทน และคุณจะได้เรียนรู้อะไรอย่างอื่นได้อีก เช่น มุมมอง ณ ตอนนั้นเขาแก้ไขปัญหาได้อย่างไร ทำไมเขาถึงเลือกการแก้ปัญหาอย่างนั้น
หนังสือ Steve Job
2.อ่านหนังสือแนวคิดการตลาด
เป็นสิ่งที่จำเป็นหากคุณไม่ใช่สาย Marketing อยู่แล้ว … ทำไม ? เพราะหากว่าคุณมีความสามารถที่ดี คุณมีของ แต่ไม่รู้ว่าวิธีปล่อยของ ของคุณมันจะมีความหมายอะไรอ่ะครับ การเรียนรู้ว่ากลุ่มเป้าหมาย การค้าขาย โอกาสที่เราจะขายของเรามากน้อยเพียงใด พวกนี้เป็นสิ่งที่คุณต้องคำนึงถึงครับ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวคุณเองรู้ดีว่าของที่คุณมีเจ๋งแค่ไหน แล้วคุณจะต้องการให้คนอื่นมาขายของของคุณหรอครับ
3.อ่านหนังสือที่ไม่เกี่ยวข้องกับด้านอาชีพคุณ
เพราะว่ามันทำให้มุมมองด้านอื่นของคุณเปิดกว้างมากขึ้น ได้เห็นว่าจริงๆแล้วความสามารถของคุณอาจจะแก้ไขปัญหาของอาชีพหรือว่าเปิดตลาดด้านอื่นได้ โอกาสพวกนี้มันจะเป็นผลที่ได้จากข้อ 2 ด้วย ตัวอย่างเช่น เพื่อนผมอ่านประวัติศาสตร์พวกทวีปตะวันออก เรียนรู้ว่าทำไมถึงรบกัน ประเทศตอนนั้นต้องการทรัพยากรอะไร เราสามารถค้าขายของพวกนี้ได้หรือไม่หรืออีกคนชอบด้านดาราศาสตร์ก็มี
การอ่านนั้นอาจจะเป็นการเริ่มต้นที่ทำให้คุณรู้สึกว่าทำไมฉันต้องเสียเวลาอ่านหนังสือด้วย น่าจะเอาเวลาไปทำอย่างอื่น แต่เชื่อผมเถอะครับคุณคงไม่สามารถไปเรียนรู้จากสตีฟ จ๊อปส์ หรือคนบางคนที่คุณไม่สามารถเข้าถึง ไปขอให้เขาสอนได้ แต่คุณอ่านแนวคิดของเขาได้ หรือคุณสามารถอ่านได้กี่ครั้งก็ได้ และลงทุนไม่เยอะ หนังสือบ้านเราถูกมากแล้วนะครับถ้าเทียบกับเมืองนอก -_-
แต่ที่อยากจะฝากต่อจากการอ่านแล้วคุณจะต้อง “ลงมือทำ” ใช่ครับเมื่อคุณอ่านแล้วคุณต้องลงมือทำอะไรซักอย่างเหมือนในหนังสือแนะนำ การมีความรู้แล้วไม่นำไปประยุกต์นั้นเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก !!! อย่าปล่อยให้เวลา มันผ่านไปครับไม่อย่างนั้นความรู้ที่คุณเอาเวลาอันมีค่าของคุณไปเสียให้แล้วนั้นจะหมดค่าแน่นอนครับ ( แหมอุตสาห์ได้รู้ได้เห็นมากกว่าคนอื่นแล้วคุณจะปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไปจริงๆหรอครับ )
ไว้ถ้าหากมีเวลาผมจะมาแนะนำหนังสือที่ผมอ่านและการปฎิบัติของผมต่อสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ หากคุณมีหนังสือโดนๆเจ๋งๆ รีบจัดมาใน comment เลยจ้าผมจะยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยครับ