อยู่ดีๆก็อยากลองเพราะเพื่อนๆ ชวนไปแล้ว + กับอยากลองเลยได้ไปลองวิ่งครั้งแรก จริงๆถ้าพูดกันว่าปีนี้เป็นปีของการวิ่งจริงๆนะเพราะคนรอบตัวผมก็เริ่มแชร์ภาพการวิ่ง มาราธอน ครั้งแรกของชีวิต
คือก่อนเริ่ม
นอนดึก !!! เป็นวิถีของผมมานานและวันนี้มันดันกลายเป็นผลเสียสำหรับการที่ต้องไปวิ่งตอน 6 โมงเช้าและต้องไปก่อนเวลาเพื่อนนัดตี 4 …. ตี 4 !!! โอ้ยเอามีดมาแทงกันเลยดีกว่า ในใจคิดอย่างนี้นะ คือปกตินอนก็ 6 โมงเช้าแล้วไง
แต่ด้วยความที่สัญญากับเพื่อนก็ต้องตื่น พยายามนอนตอนเที่ยงคืนกะว่าจะได้นอนบ้างปรากฎตื่นมา … ตี 3 เพื่ออะไร นอนไป 2 ชั่วโมงแล้วก็รอเวลาเตรียมตัวไปหาเพื่อนที่นัดกันจะนั่ง Taxi ระหว่างทางก็ก่อนขึ้นรถก็ซื้อขนมปังไปกินบนรถด้วย นั่งรถไปซักพักก็ถึงจุดนัดหมายหน้ากระทรวงกลาโหมขนาดมาถึงว่าเช้านะคนมารอโครตจะเยอะ แล้วก็มีการแสดงและการประกาศจากทีมงานว่า จะวิ่งไปไหนอย่างไร ของกินรับตรงไหน พวกผมก็ไปหาอะไรกิน และเข้าห้องน้ำ
ข้อแนะนำ
- ควรจะนอนให้ก่อนเวลาจริงๆนะครับ และอยากจะบอกว่า ควรจะเอาเงินไปน้อยที่สุดหากจะเอามือถือไปด้วย ควรจะมี Arm band หรือที่รัดแขนใส่มือถือด้วยจะดีมากครับ
- สำหรับผู้หญิงนะครับแนะนำว่าอย่าไปหวังจะเข้าห้องน้ำแถวนั้นถ้าหากคุณไม่ว่างจริงๆ เพราะแถวยาวมาก แนะนำให้หาห้องน้ำปั้มหรือระหว่างทางก่อนจะไปถึงจุด start จะดีมาก
เริ่มวิ่ง !
และแล้วเสียงให้ทำการออกวิ่งก็เริ่มขึ้นผู้คนนับพันได้เริ่มย่างบ้างก็เดินก่อน บ้างก็วิ่งๆเดินๆ บ้างก็จัดเต็มเอาโล่กันเลย ผมก็เริ่มวิ่งแบบจ๊อกกิ้งก่อนไม่ชัวร์ว่าขาตัวเองจะไหวหรือไม่ไหวเลยเอาแบบกลางๆก่อน
หลายๆคนอาจจะคิดว่าไปเพื่อวิ่งเลยแต่ในความจริงคือ เราไปเหมือนไปร่วมกิจกรรมร่วมกันมากกว่าครับ บ้างคนก็หยุดถ่ายรูปทั้งวิวและ Selfie ผมคิดว่ามันคือสีสันของงานครับ ดูก็เพลินไปด้วย แม้แต่เพื่อนผมเองก็ยังหยุดถ่ายรูปเหมือนกัน
บรรยากาศยามเช้านั้นน่าหลงใหลเหมือนกันทั้งๆที่ผมนอนเช้าทุกวันแต่ไม่เคยได้สัมผัสกับบรรยกาศที่ไม่ร้อนไม่เย็นและภาพที่ทุกคนมีจุดหมายร่วมกันนั้นมันช่างทำให้กำลังขาของเราวิ่งต่อไปไม่หยุด อ่า ~ ระหว่างวิ่งไปซักพักก็มีการขึ้นสะพาน แบบที่รถยนต์ขึ้นนะครับ ก็คือใกล้ 2 กิโลเมตรแรกแล้ว
ข้อแนะนำ
- ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีห้องน้ำนะครับ ระหว่างทางจะมีให้เข้าห้องน้ำเป็นจุดๆ หากคิดว่าจะให้วิ่งตลอดไม่มีห้องน้ำเลยก็ไม่ต้องกังวลไป และที่ผมพลาดคือ ผมเอาของมาเยอะไปคือเอากระเป๋าตังค์มาทั้งใบซึ่งต้องพกไปด้วยดูแลอีก อย่างที่บอกครับเอามาแค่พอดีพอ
เหนื่อยเราไม่เหนื่อย เมื่อยเราไม่เมื่อย
พอถึง 2 กิโลเมตรแรกจะมีการแจกน้ำ ผมก็ไม่ได้กินเพราะคนไปรับน้ำเยอะมาก ประเด็นคือยังไม่เหนื่อยและยังไม่ได้ต้องการกินน้ำด้วยจึงวิ่งผ่านไปต่อเลย เมื่อถึงกิโลที่ 4 ตอนนี้แหละเริ่มเหนื่อยของจริง รู้สึกได้เลยว่าร่างกายที่ไม่ได้พักและไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับมาวิ่งเนี้ยเป็นไง อากาศหายใจเริ่มไม่ทัน เริ่มมาเรื่อยๆ ณ ตอนนี้คิดว่ากิโลที่ 4 น่าจะมีน้ำให้แต่เปล่าเลยจ้าไม่มีให้ ฮือออออออ ต้องวิ่งต่อไป ณ ตอนนี้เริ่มอยู่แถวๆ สะพานพระราม 8 แหละหลายคนหยุดเพื่อเก็บภาพ อีกหลายคนก็หยุดเพื่อพักหายใจ
แต่ผมก็ยังคงวิ่งต่อไปแม้การวิ่งจะช้าลงแต่ก็ยังรักษาสภาพไปได้อีกสักพักในใจคิดเหมือนกันว่าเดี๋ยวคงมีน้ำให้แหละน้า พอเริ่มๆจะกิโลที่ 5 แล้วร่างกายบอกไม่ไหวต้องให้เปลี่ยนเป็นเดินแทน แต่ก็นะเราทำได้ดีกว่าที่คิดไว้ซะอีกเลยเดินหน่อยแล้วกัน
ข้อแนะนำ
- พยายามหาจังหวะการหายใจที่ตัวเองถนัด เช่น หายใจแบบเร็วๆ 2 ทีแล้วปล่อยลมหายใจ รู้สึกว่าบ้างเว็บจะมีข้อมูลสำหรับตรงนี้แต่ผมอ่านแล้วผมรู้สึกว่าจังหวะแต่ละคนไม่น่าจะเหมือนกันลองหาดูครับโดยการเริ่มวิ่ง ซ้อมวิ่งจะหาเจอ
- พยายามจิบน้ำแต่ไม่ได้ขนาดดื่มแบบกระหาย จิบน้ำหรือดื่มช้าๆ ช่วยได้มากจริงๆ สำหรับการวิ่งทางไกล
ทางเลือกในจิตใจ
ผมคิดว่านักวิ่งหน้าใหม่ทุกคนน่าจะต้องเจอ “ช่วงเวลาแห่งการทดสอบจิตใจ” โดยเมื่อเราวิ่งมาถึงจุดหนึ่งที่ร่างกายเริ่มจะบอกกับตัวเองว่า พอเถอะ … ไม่ไหวแหละ วิ่งตั้งนานเพิ่งจะแค่นี้เอง อีกหลายกิโลนะกว่าจะถึง พักหน่อยเถอะ หรือเดินดีกว่า คำพูดเหล่านี้จะมาหลอกหลอนเราตลอดเมื่อจิตใจเราเริ่มร้องครวญคราง อยากจะหนีประมาณนั้น ผมเองก็เจอช่วงกิโลที่ 7 คือมันก็วิ่ง + เดินมาเยอะแหละ นะแต่เนี้ยมันนานมากแหละ ทำไมเรายังหยุดแค่นี้เนี้ยไม่ไหวเหนื่อยโครตๆ อยากพัก อยากกินน้ำ อยาก ฯลฯ
เวลาอย่างนี้ผมก็เริ่มหยุดวิ่งและเริ่มเดิน เดิน เดิน ไปเรื่อยๆ แต่เริ่มเห็นคนอื่นที่เราแซงมาตอนแรกเริ่มกลับมาแซงเรา หลายๆคน ไม่แม้แต่เด็กตัวเล็กยังวิ่งแซงเราเลย ใจหนึ่งก็เฮ้ย ! เด็กมันวิ่งแซงเราไปแล้วนะ คนอื่นๆ ผู้หญิงหลายคนก็แซงแล้ว ยอมหรอ !!! ไอ้เราก็แบบเฮ้ยอยากวิ่งแต่ร่างกายมันเจ็บมันปวด อยากพัก สักพักการต่อสู้ในหัวผมก็ต้องหยุดลงเมื่อมีสิ่งมาเรียก “พี่ตอง” หันขวับไปทางเสียงเลยปรากฎว่า !
เจอรุ่นน้องค่าย ywc ฮ่าๆ อยู่ทุกที่จริงๆคนค่ายนี้ขนาดมาวิ่งนะยังเจอ เสียงเรียกทำให้รู้สึกถึงการได้สติและกลับมาวิ่งต่อ เพราะน้องที่มาทักก็วิ่งเหมือนกัน เลยทำให้ร่างกายเหมือนขยับไปด้วยในกิโลที่ 8 น้องก็ขอหยุดเดินผมได้เรียนรู้เลยว่าการมามีเพื่อนวิ่งนั้นทำให้เพลินได้เยอะ
ข้อแนะนำ
- เป็นไปได้ควรชวนเพื่อนมาวิ่งด้วยนะ ได้คุยเรื่อยๆ ตอนที่เดินและวิ่งไปด้วยกัน ความรู้สึกมันดีกว่าวิ่งคนเดียวเยอะจริงๆ
หากไม่เริ่มก็ไม่ชนะ
จริงๆระหว่างทางที่วิ่งผมก็ได้ข้อคิดอะไร ณ ตอนเหนื่อยอยากเลิกก็คิดว่าแค่นี้ยังทำไม่ได้เลย แล้วจะทำอะไรได้ล่ะ ? ความรู้สึกที่เราวิ่งอยู่ในกระแสของกลุ่มคนที่มีจุดหมายเดี๋ยวกันแต่การกระทำแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนถ่ายรูป บางคนก็ค่อยเดิน บางคนก็รีบไป ช้าหรือเร็วเราก็ไปถึงแต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องทำให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ ช่วงถอดใจก็เหมือนโลกนี้โหดร้าย แต่พอได้ยินว่าอีก 1 กิโล เหมือนใจมันชื้นขึ้นมาหน่อย
ณ ตอนนี้มีหลายๆคนก็ถอดใจเหมือนกัน ฝรั่งที่วิ่งนำผมมาตั้งนาน อยู่ดีๆก็หันหน้ากลับมาแล้วก็เป่านกหวีด แบมือ ออกสองข้างเพื่อให้คนที่วิ่งมาตบให้กำลังใจประมาณนั้น ผมก็คิดแบบว่า เอ่อแฮะมีแบบนี้ด้วย วิ่งมาเกือบจะถึงแหละปรากฎว่าน้องเป็นตะคริว เลยต้องเดินให้ถึง ก็ดีผมเองก็ปวดขาเหมือนกันตอนนี้ภาพที่เห็นคือ จุด Start ที่เราไม่คิดว่าจะถึง แต่เราก็มาจนถึงได้ หายเหนื่อยเลย เฮ้อ …. เย้ !
สุดท้าย
หากวันนั้นไม่ได้บอกเพื่อนว่าจะมาคงไม่ได้สัมผัสประสบการณ์อย่างนี้ เป็นอะไรที่แตกต่างจากการวิ่งรอบหมู่บ้านเลย หากคุณยังมีร่างกายที่แข็งแรงก็อยากให้มาลองกันซักครั้งหนึ่งครับ เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เหนื่อย ท้อ สนุก เฮฮา หรือตื่นเต้น ไม่แน่ว่าคุณอาจจะได้ข้อคิดดีๆจากการวิ่งก็เป็นได้ แล้วพบกันบทความหน้าครับ สวัสดี