เมื่อเหล่า Designer ของค่าย Young Webmaster Camp ( ต่อไปในบทความขอเรียกว่า YWC ) มาร่วมตัวกันและจัดงานเกี่ยวกับด้าน Design ให้มาพบป่ะพูดคุย ด้วยชาวค่ายเพื่อชาวค่ายและจะพัฒนาต่อไปให้คนนอกได้เข้าร่วมอย่างแน่นอนบทความนี้เป็นบทความสรุปจากงานที่ผมได้ไปเข้าร่วม
อธิบายภาพรวมก่อน YWC คืออะไร ?
ค่าย YWC เป็นสำหรับน้องๆที่กำลังศึกษาในระดับชั้นอุดมศึกษาหรือเทียบเท่า ใน Blog ของผมมีพูดถึงเยอะมากๆ ตรงนี้แค่มาอธิบายคราวๆเฉยๆว่าคืออะไร ใครอยากรู้ไปอ่านได้ตามนี้ครับ
- YWC จุดเปลี่ยนชีวิตครั้งที่ 11
- YWC ค่ายที่ต้องเข้าตลอดชีวิต
- อยากเป็นคนทำเว็บหรอ !! จุดเปลี่ยนอยู่ที่ค่ายนี้ไง !!!! YWC ครั้งที่ 10
- iywc ค่ายสร้างรัก นักสร้างเว็บ
โอเคแล้วจะบอกว่าตอนนี้ใกล้วันเปิดรับสมัครค่ายรุ่นที่ 14 ใครอยากเข้าค่ายที่มีประโยชน์มากๆและเปลี่ยนชีวิตแน่นอนก็อย่าลืมไปติดตามที่แฟนเพจด้วยนะ ที่ https://www.facebook.com/ywcth
YWC Design meet up#1
จริงๆแล้วมีงานทั้งสี่สายเหมือนในค่ายแล้ว แต่ยังคงเป็นแบบระบบปิด ซึ่งอีกไม่นานจะเปิดให้ผู้บุคคลที่สนใจภายนอกได้เข้ามา join งานแบบแชร์ความรู้กันครับ ว่าแหละไปดูหน่อยว่างานนี้มีอะไรบ้าง
1. Ekkrit Foonngern Design is relation
2. Artkawin Ecommirst Poolsawat บอกเล่าประสบการณ์ Designer Wanna be VS Born to be
3. John Thaitynium Design+Marketing
4. พิสุทธิ์ สมบุญ วาดให้ได้ ขายให้เป็น (เทคนิกการขายงานสำหรับดีไซ
5. Inthanon Panyasopa นักออกแบบไทย ทำไมราคาถูก
6. Sarun Bangkusonjit เรื่องแอบบอกนักออกแบบ
พอดีผมไม่ได้เรียงหัวข้อนะครับ เดี๋ยวจะค่อยๆเขียนเรียงเป็นหัวข้อตามในวันให้อ่านอีกที โดยสถานที่ได้รับความอนุเคราะห์จากออฟฟิต MCFIVA ถือว่าเป็นออฟฟิตที่สวยมากทีเดียวและมีการเปิดกว้างด้านไอเดีย ลองไปดูที่ได้ที่แฟนเพจ https://www.facebook.com/mcfiva/
แอบบอก นักออกแบบ
เรื่องนี้จากน้องแอ๊มรุ่น ywc#10
คนไม่อยากสู้ กับคนที่ดูเก่งกว่า
แอบบอกการต่อรอง
มีคน 3 แบบที่เราจะได้เจอและต้องต่อรองบ่อยๆ นั่นก็คือ
- เจ้าของต่อราคา
- AE comment งานเรา
- บัญชี ( ราคาและการจ่ายเงิน )
3 สิ่งนี้เราต้องใช้ Profressional ในการจัดการหรือแก้ไขปัญหา เช่น คุยงานกับเจ้าของจะทำแบบธรรมดาไม่ได้ เพราะว่าสมัยนี้มีความรู้ใน internet เยอะทำแบบชิลๆไม่ได้ ต้องอลังการ การเตรียมเอกสาร การเตรียม Design สำหรับการต่อรองกับ ฝ่ายบัญชีหรือจัดซื้อ เพื่อให้เขาเห็นว่าเราพร้อมและมีความเป็นมืออาชีพมาก และเขาจะไม่ค่อยอยากต่อรอง หรือสู้กับเราเพราะคิดว่าเราพร้อมเราเก่ง คนไม่อยากสู้กับคนเก่ง แอ๊มนิยามสิ่งนี้ว่า
คนไม่อยากสู้ กับคนที่ดูเก่งกว่า
คือ ใครที่ดูพร้อมกว่า จะดูเก่งกว่า เขาจะไม่อยากสู้ ไม่ใช่ทำแค่ฝั่งของเรา แต่ให้เรานึกถึงฝั่งของเขาที่ต้องไปจัดการต่อด้วยว่า เขาต้องการสรุปแบบไหนให้ทางหน่วยอื่นๆ ดูจากรูปนะครับ เวลาน้องแอ๊มทำจะมมีสรุปงานเตรียมการต่างๆให้เรียบร้อยเลย
แอบบอกการคิดเงิน
จ้างงานด้วยสมอง กับ สองมือ
หลายๆคนคงมีปัญหาเวลาจะคิดเงินลูกค้า ทำอันนี้เท่าไร ทำงานนี้แล้วคุ้มไหม กลัวคิดแพงแล้วลูกค้าไม่เอา คิดถูกก็ไม่คุ้มค่าแรงที่ทำตรงหัวข้อนี้มีแอบบอกวิธีการที่จะทำให้ลูกค้ายอมรับการคิดเงินและงานของเราโดยต้องจ้างงานด้วยสมองกับสองมือ
เช่นการขายต้องใส่สิ่งที่ทำไปด้วย วิเคราะห์คู่แข่งให้ด้วย หรือ ทำอะไร process ต่างๆให้ใส่ลงไปด้วย ปกติอย่าง Design หรือ Dev นั้นจะไม่ได้คำนึงถึงจุดที่ตัวเองทำ เพราะจริงๆแล้วเราแค่เล่าตรงจุดที่เราทำแต่ลูกค้าไม่ได้เห็นเอามานำเสนอนั่นเอง เช่น กรณีของของผมจะคุยกับลูกค้าก็จะมีอธิบายต่างๆ และมีเรื่องวิเคราะห์เว็บคู่แข่ง วิเคราะห์ว่าเราทำเว็บให้ลูกค้าเพื่อช่วยเหลือเรื่องอะไร การนำเสนอพวกนี้ ด้าน Design อาจจะพูดถึงว่า ต้องไปร่างแบบวิเคราะห์การใช้งานของเว็บคู่แข่งทำ Wireframe อะไรพวกนี้ก็ใส่ๆไปด้วย
แอบบอก การทวงเงิน
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญพอๆกับการทำงานเลย เพราะเราทำงานให้เนี้ยต้องทวงกลับไม่กล้าทวง เพราะฉะนั้นหัวข้อนี้จึงมีด้วย สำหรับเรื่องการทวงนั้น ต้องทวงด้วย สัญญาที่ชัดเจน อย่ายอมง่ายๆ มีมาตรฐานในการเก็บเงิน ไม่ใช่การบอกปากเปล่าพอทำเสร็จแล้วไม่มีหลักฐานอะไรเลย
ถ้าหากลูกค้าที่เป็นคนกลางติดต่อระหว่างเรากับลูกค้าของเขาอีกที บอกเราว่า พี่ยังไม่มีเงินจ่ายเงินเพราะลูกค้าของเขายังไม่จ่ายเงินให้ อย่ายอมง่ายๆ ถ้าเจอคำไหนที่เขาอ้างให้ไป search ดูว่าคืออะไร บางทีเขาบอกมาเราต้องศึกษาว่าศัพท์ที่เขาอ้างถึงมีผลกระทบอย่างไร เสร็จไปคุยให้รู้เรื่องว่าศัพท์ที่เขากล่าวอ้างนั้นเราจะต้องตกลงว่าจะได้วันไหนอย่างไร
สุดท้ายเรื่องเอกสารให้หาในเน็ตก็ได้มีตัวอย่าง วิธีเขียนเยอะมาก ควรจะเขียนให้ละเอียดจะทำอะไร ถึงวันไหน ต้องส่งเมื่อไหร่ ให้ลูกค้า feedback กี่วัน ถ้าช้าต้องระบุว่างานจะเริ่มจากวันไหนอย่างไร ประมาณนี้
ใบเสนอราคา
- ราคาของงาน
- รายละเอียดงาน สมมติว่าทำเว็บ 4 หน้า ไม่ควรเขียนเท่านี้ เขียนให้ละเอียดไปเลยว่าหน้าแรกทำอะไร มี wireframe ไหมหรือทำเป็น prototype ออกแบบยังไงหรือมีการ Design ให้กี่ตัวอย่าง
- ระยะเวลาการดำเนินงาน บางทีลูกค้าจะอ้างว่าเราส่งช้า ควรระบุให้ชัดเลยเราจะส่งเมื่อไหร่ ตอนไหน
- Term การจ่ายเงิน จะเก็บก่อนเท่าไร เก็บยังไงว่าไปจะต้องจ่ายก่อนเท่าไร เสร็จงานตอนไหน แล้วจ่ายอีก
- ระบุหมายเหตุลงไปด้วย ระบุไปด้วยใช้คนทำเท่าไร กี่คน
แอบบอกการสร้างแบรนด์
ในยุคที่สื่อ social มีอิทธิพลต่อทุกคนการสร้างผลงานใน internet เป็นสิ่งจำเป็น หาเว็บหรือสร้างเองหรือเวทีที่แสดงผลงานของตัวเราไว้ด้วย ตอนนี้ของฟรีมีเยอะเยะมากไม่จำเป็นต้องสร้างเว็บเองก็ได้ อาจจะสร้าง page ใน facebook โดยการสร้างนอกจากจะเก็บผลงานยังมีเทคนิคอีกสำหรับการทำให้คนรู้จักเราเช่น
- แจก เช่น แจกภาพใช้แบบไม่ติดลิขสิทธิ์ หรือ แจก source code
- ให้ ให้ความรู้ ให้ความสนุก ให้เงิน ให้ทอง ควรทำให้ 2 way แลกเปลี่ยนความรู้กัน
- อัพเดท ให้ความรู้ข่าวต่างๆแบบปัจจุบัน
แอบบอกว่า จงเป็นกราฟิกที่น่ารัก
เรารักลูกค้า ลูกค้าจะรักเรา
ถ้าเราทำอะไรดี สิ่งดีๆจะกลับมาแทนเช่น comment จะลดน้อยลง
คิดแทนเค้า เช่น ต้องการงานด่วนลองถามเขา เขาเจออะไรอยู่แล้ว ถ้าเป็นเราล่ะ ?
เซอร์ไพรส์เค้า เช่น ขอมาทำงานวันเสาร์เราอาจจะต้องบอกเขาว่า มันอาจจะไม่ได้ เพราะมันขัดการการทำงานแต่ส่งให้ได้
พยายามเพื่อเค้า เช่น ถ้าหากเขาติดอะไรปรับเปลี่ยนต่างๆ เราก็พยายามเข้าไปช่วยเหลือ ทำอะไร เราจำได้กันหมด
รักและเคารพเค้า เช่น ต้องปรับทัศนคติหลายๆอย่าง
Wanna be vs. Born to be ( เมิร์ส )
น้องมาเล่าเกี่ยวกับเรื่องประวัติของตัวเองและความเชื่อที่ยึดถือของตัวเองว่าเป็นอย่างไร โดยตอนแรกน้องคิดว่าน้องเขา Born to be แบบเฮ้ยตัวเองมีพรสวรรค์ด้านนี้แต่สุดท้ายปลายทางก็ค้นพบว่าตัวเองแค่ Wanna be
น้องเมิร์สเล่าให้ว่าน้องเด็กๆ มีความฝันว่าอยากไปทางออกแบบ เพราะรุ่นพี่คนนึงแต่กลับรู้ทีหลังว่า สิ่งที่รุ่นพี่เรียนกับสิ่งที่รุ่นพี่ทำมันคนละเรื่อง คือรุ่นพี่ที่เขาเคารพนั้นเรียนด้านวิทย์แต่เขาทำพวกออกแบบดี และตัวเมิร์สเองเข้าใจว่าต้องเรียนสายวิทย์ถึงจะทำด้านนี้ได้ ก็เลยกลับตัวทีหลัง จุดเริ่มต้นตรงนี้เลยไปด้าน Design และเริ่มมีผลกระทบระยะยาวโดยน้องเมิร์สเริ่มเรียนด้านนี้จริงจัง
เรียนติดคณะที่คนเข้ายากและ ทำผลงานได้ดีมากๆ จนคนรอบตัวมาชื่นชม จากความชื่นชมรอบตัวทำให้ตัวเองรู้สึกว่าเราน่าจะเกิดมามีพรสวรรค์ด้านนี้หรือคิดว่ตัวเอง Born to be จนกระทั่งได้ฝึกทำงานที่ a day เป็นจุดเริ่มต้นของการรู้สึกตัว
เพราะการเข้าไปทำงานที่ a day ทำให้รู้ว่าการทำงานด้านสิ่งพิมพ์ทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไร ด้วยระบบก็ดี ด้วยความกระหายการทำงานก็ดี เพราะถูกกำหนดกรอบ กรอบที่บอกอาจจะแบบทำนองว่า ลองทำอย่างนี้ รุ่นพี่บอกว่าไม่ได้เพราะว่าเวลาทำเป็นหนังสือสีมันจะเพี้ยนหรือมันจะไม่สวยอย่างที่เห็นในจอ สิ่งหนึ่งเลยรู้ว่าเราไม่ได้ภูมิใจกับผลงาน เพราะแทนที่จะเป็นนักออกแบบกลับกลายเป็นคนทาสีไปแทน ทำในสิ่งที่คนอื่นต้องการแต่ตัวเองรู้สึกขัดแย้ง น่าจะเป็นกันหลายๆอาชีพนะ
เมิร์สบอกว่าทุกอย่างที่เข้าไปดีหมด แต่เริ่มรู้สึกตัวเองเป็น wanna be อย่างที่บอกไปและน้องเมิร์สคัดงานที่คิดว่าตัว top ทั้งหมด 12 ชิ้นคือทำเยอะมากแต่เลือกมาเฉพาะที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุด แต่มีเพียง … 1 ชิ้นที่ภูมิจากงานที่ตัวเทพ 12 ชิ้น และงานที่เหลือคือมีพี่มายืนคุ้มอยู่ข้างหลัง พวก Design น่าจะเข้าใจความรู้สึกนี้ดี แนวๆบอกให้ใช้ font แบบนี้สิ วางแบบนี้ ทำนั่นสิ ฯลฯ
สุดท้ายมาอยู่ a book จนกระทั่งได้ทำหนังสือเล่มแรก แต่ไม่ภูมิใจ เพราะเหตุผลอย่างที่บอก คือมีคนมาสิงอยู่ข้างหลังหลังจากนั้นก็ ลาออก …
จุดนี้ที่เมิร์สมาแชร์คือ เขาอยากจะเล่าว่าบ้างทีสิ่งที่คิดในตอนแรกมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ใช่ ในตอนแรกเราคิดว่าเราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ แต่จริงๆเราอาจจะเป็นแค่คนอยากจะเป็นคนแบบที่เราคิดเท่านั้นเอง เมื่อไปค้นพบความจริงแล้วว่าคนทำงานด้านนั้นๆจริงเขาอาจจะ Born to be ของจริงมากกว่า
Design marketing ( พี่จอร์น )
หลายๆครั้งที่เกิดปัญหาระหว่าง Design กับ Marketing โดยการที่ Marketing ไม่อธิบายรายละเอียดของงานที่จะเอาไปใช้ เพราะคิดว่าเอาไปใช้ที่ไหนก็ได้ พอไม่อธิบายแล้วเอาไปใช้จริงจึงเกิดปัญหาเช่น
อย่างนี้เห็นไหมครับ ? เป็นรู้เครื่องบินดิ่งพสุธา ซึ่งจะปรับจะเปลี่ยนก็ไม่ได้อีก จริงๆควรจะบอกว่า ลูกค้าเป็นใคร จะเอาไปใช้กับจุดไหนอย่างไร ซึ่งการบอกไม่หมดทำให้ การดึงเอาพลัง Design มาใช้ไม่เต็มที่ สิ่งที่คิดมาอาจจะไม่ตอบโจทย์ได้ทั้งสองฝั่ง
feeling ( feedback )
ถ้าเรารู้ feeling ก่อนเราจะสามารถรู้ได้ว่ากลุ่มเป้าหมายรู้สึกยังไงกับภาพแบบไหน เช่น ถ้ากลุ่มเป้าหมายชอบฟุตบอล ก็ควรจะรู้ว่าภาพประมาณไหนที่คนกลุ่มนี้ชอบ
ควรตามให้ทัน
ต้องรู้ว่า ads ที่ปล่อยสมัยนี้มีหลายรูปแบบต้องเรียนรู้ให้เร็ว Facebook Page Cover กว้างxสูง เท่าไร Youtube, IG ฯลฯ พยายามหาข้อมูลพวกนี้ไว้ด้วยเสพงานเยอะๆ
Target click เกิดไรขึ้นบ้าง ?
ถ้าสมมติว่าเราภาพแบบ click bait และลูกค้าจ่ายเงินแบบต่อคลิก แปลว่าเราไม่ได้ช่วยเขา เรากำลังทำให้ลูกค้าเสียเงินรัวๆ แต่ถ้าหากเรารู้เราอาจจะทำภาพที่ให้คนอยากคลิกเพราะอ่านจริงๆ หรือ ซื้อของจริงๆ ซึ่งมันต่างจากคลิก bait
ลูกค้าคือพระเจ้า ?
แต่บางครั้งเราก็จำเป็นต้องหลอกพระเจ้า ลูกค้าอาจจะคุยตรงๆได้ หรือบางคนอาจจะต้องคุยว่า ปรับตรงนี้ได้อย่างนี้ แต่มีลูกค้าที่เป็นคนกลาง ต้องไปคุยกับบอส แต่กลัวที่จะคุย และไม่ยอมเปลี่ยน plan ที่คิดไว้ เราอาจจะต้องดูว่าทำแบบไหนให้ลูกค้าจบงานได้ดีและเราก็ทำงานได้ ให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราคือเพื่อนที่แคร์เค้า อย่าแค่ออกแบบงานให้
เราขายงานให้ลูกค้าของลูกค้า
เพราะบางครั้งเจ้าของเว็บไซต์ คิดไม่ออกว่าลูกค้าจริงๆของเขาชอบไหม เราต้องนึกถึงสิ่งที่เราทำให้ใคร เพราะบางครั้งลูกค้ามาจ้างเราให้เพราะทำเว็บเพื่อให้ลูกค้าของเขาดูอีกที
Design home vs WEB
อะไรที่จับต้องไม่ได้ ลูกค้าชอบคิดว่าถูก ควรจะอธิบายเป็นแนวสร้างบ้าน เช่น ตอนแรกต้องการห้องแล้วจะปรับ ก็อาจจะต้องบอกเปรียบเทียบต้องปรับเสาเข็มเลยทำนองนั้น
First impression
เลือกของ หรือสิ่งที่ลูกค้าอยากเห็นอะไรก่อนหลัง เพราะเราต้องอธิบายเส้นทางสุดท้ายอาจจะไม่สวยอย่างที่ลูกค้าคิดต้องถามให้ละเอียดให้รู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร
Design Ralation ( ทิวไผ่ ywca 12 )
ในตอนแรกที่เรียนมีความคิดแบบ ทุกคนต้องชอบอะไรคล้ายๆกับเราตัวเอง จนกระทั่งทำงานกับลูกค้า … น้องได้ศึกษาเกี่ยวกับความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ และปรับใช้กับเข้ากับ User interface ( UI ) โดย
- ทำให้มี UI พื้นฐาน
- ทำให้มันใช้ง่าย
- ทำให้สวย
principles for good design
- ควรจะสดใส
- สร้างความเข้าใจได้ง่าย
- มีอายุยืนยาว
- ออกแบบให้น้อยที่สุด
ต้องบอกตรงๆว่า section นี้ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร อาจจะต้องติดตามคนอื่นเขียนอีกทีหรือถามตัวน้องเองครับ
นักออกแบบไทย ทำไมราคาถูก ( เบ้น )
2 – 3 ปีมีญาติ อยากให้ทำเว็บโดยเขาคิดว่า คนไทย ราคาถูกและหยวนๆ คุณภาพดีพอๆกับต่างประเทศ จึงอยากจ้าง สุดท้ายเรียกไปหนักๆ ในความคิดแล้วคิดว่าญาติคงไม่เอาปรากฎว่า เย็นวันนั้นญาติโอนมาให้เลย ( ฮ่า ) แต่ก็ทำเสร็จไปจึงได้เก็บมาทบทวนว่าทำไมล่ะคนอื่นๆถึงมี mind set ว่าคนไทยทำงานถูกว่าแล้วไปดูหัวข้อกัน
คิด
คนไทยคิดว่า
- สบาย
- ไม่มีต้นทุน
- ที่กล่าวมาทั้งหมด เรารู้แต่ลูกค้าไม่รู้
ทุกงานมันมี Story
การมี story ทำให้มีราคา มีลูกค้ามาจ้าง logo อยากได้แบบ starbuck แต่มีงบ 2,000 บาท เพราะเขาไม่รู้ว่าแต่ละงานที่เราคิดนั้นมีขั้นตอนอะไรบ้าง อาจจะต้องเล่าไม่ก็ส่งๆหลายๆตัวให้ดูว่ามันเฮ้ยมันมีอะไรในนั้นอีกเยอะกว่าจะเป็นงานออกมาให้ดูได้
นักออกแบบตัดราคากันเอง
สารภาพบาปผมเอง ( คนพูด ) ก็เคยทำ งานราคาถูก ทำให้ลูกค้าตั้งมาตรฐานว่างานราคาเท่านี้ โดนต่ออีก เราอยากได้งานและเงิน ถ้าทำงานลวกๆ จะได้ผลงานลวกๆเอาไปบอกต่อไม่ได้ ซึ่งมันจะเป็นผลกระทบว่า งานต่อๆไปเราจะไม่สามารถเรียกราคามากขึ้นได้เลยเพราะลูกค้าเข้าใจว่าเป็นเรตราคานี้ไปแล้ว
เราลืมไปหรือเปล่าว่าลูกค้ามาจากไหน ?
ลูกค้าแตกต่างกัน บางคนรู้ บางคนไม่รู้ ต้องอธิบายไปว่าทำไมราคาเท่านี้ได้อะไรบ้าง ต้องดูด้วยว่าลูกค้าเป็นคนแบบไหนแล้วเข้าใจรายละเอียดของงานเราแค่ไหน แล้วเราอธิบายทางลูกค้าได้ดีไหม
ลูกค้าต้องการงานออกแบบจริงๆรึเปล่า ?
ลูกบางคนไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องการอะไร ยังไง ต้องดูจุดประสงค์
ลูกค้าซื้องานเราเพราะอะไร ?
หากเราสร้างคุณค่าให้กับงานตัวเอง ลูกค้าก็จะให้คุณค่าแก่งานของเรา
วาดให้ได้ ขายให้เป็น ( เฟง )
เทคนิคการขายงานออกแบบ
วาดได้ แต่ขายไม่เป็น = สวยแต่จน
วาดให้ได้ขายให้เป็น = สวยและรวยมาก
ประเภทธุรกิจ
- Service / Product
- Service ออกแบบใหม่ = แพง
- Product ออกแบบครั้งเดียวแล้วผลิตซ้ำ = ราคาถูก
กลยุทธการวางโมเดล
- ต้องเชี่ยวชาญหรือแตกต่าง
- สร้างคุณค่าแก่ลูกค้าก็จะสร้างคุณค่าแก่เรา
- สร้างเรื่องราว มีเรื่องราวน่าสนใจ
เลือกกลุ่มเป้าหมาย ลูกค้า
- Product แก้ Paint point ขายคนธรรมดา mass
- ถ้าสร้าง Awareness ให้ขายกับบริษัท
- มีคุณค่าระดับพื้นฐานขายหน่วยราชการ
การตั้งราคา
- สร้างผลิตภัณฑ์มาเปรียบเทียบ
Design Talk Section
เนื่องจากยังพอมีเวลาเหลือ เลยมี section ที่คุยกันขำๆ โดยจะให้คนที่มางานมีส่วนร่วมในการตอบคำถามอารมณ์อาสาสมัครมาคุย แต่ผมจะไม่เปิดเผยชื่อหรืองาน แค่อยากแชร์ว่าบางเรื่องลูกค้าก็มีเกรียนๆเหมือนกัน และบางเรื่องผมก็ดัดแปลงเป็นเรื่องใหม่ที่ใกล้เคียงนะครับ ถ้าเรื่องไหนเล่าไม่ได้ก็ไม่ได้เขียนในนี้ไว้เจอกันก็มาถามแล้วกันจะเล่าให้ฟังฮ่าๆ
เรื่องราคา ใครเคยเจอต่อราคา หรือคิดราคา หรือมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องราคา ?
A: โดนต่อราคาช่วงเปิดบริษัท ยังต้องทำงานแบบชิ้นละ 3,000 บาทอยู่ เพราะเป็นพี่ที่รู้จักกัน เคยซื้อของกันมาก่อนใช้บุญคุณ
B: โดนให้งานเยอะเพราะเคยทำงานมาด้วยกันหลายครั้ง
เคยเจอถูกสุดเท่าไร ?
X: 5,000 ให้ทำงานใหญ่มาก
เคยมีเรื่องเกี่ยวกับ Deadline ?
U: รับงานจาก Fastwork UI web design มีพวกไม่อยากผ่านเว็บจะไม่ติดต่อผ่านตัวเว็บเพราะไม่อยากเสียเงินให้เว็บ Deadline week หน้าวันศุกร์ ตอนแรกเข้าใจว่ามี 8 วัน กลายเป็นโทรมาเอาเย็นวันศุกร์นี้เหลือ 3 วัน ต้องเปิดคอมกลาง ร้านเหล้าแก้งาน เว็บมันมี condition ถ้าเราดันไปรับงานผ่านกันเอง เว็บก็ช่วยไม่ได้
O: แก้เว็บในงานเหล้า พารากอน โครตเมาแต่ต้องแก้งาน
เคยมีแบบ บรีฟเหี้ย ไหม ?
R: รับงานมาเป็น vdo แล้วคุยกับลูกค้า ลูกค้าบอกให้แยก layer ได้เลยนะคะ ….
T: ส่ง logo มาใน mail เป็นไฟล์ word, excel , jpeg
E: ส่งภาพ product shot มาเป็น pdf ของอาหารแต่ละตัว
V: ลูกค้าส่งรูป ceo คนใหม่มา เป็นรูปวงกลม แต่ในรูปมีปลั๊กรางติดอยู่ ลูกค้าบอกให้เอาปลั๊กออกให้หน่อย
N: ลูกค้าให้ลดเหนียง พอทำให้ลูกค้าก็บอก คอมันยังไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องแต่ง
เคยเจอลูกค้า เหี้ย ไหม ?
H: ลูกค้าที่เป็นตราบาป ทำมา 1 ปีไม่เสร็จ ลูกค้ามาจ้างบอกมีหลายโปรเจ็คจะให้อีก ซึ่งเป็นโปรเจ็คแพง ลูกค้าขอเราอย่างหนึ่ง ทำเว็บหลายตังค์ใกล้ๆล้าน ลูกค้ามาบอก จะทำระบบจองสนาม บอกว่าไม่มีระบบ มีแต่ข้อมูล แต่สุดท้ายมาบอกว่า ต้องเอาระบบขึ้นก่อนสิ้นเดือน ซึ่งวันนั้นคือ พฤ ต้องขึ้นศุกร์ สุดท้ายจะเก็บเงินก้อนสุดท้ายในสัญญา ระบบว่าเว็บต้องเสร็จทั้งระบบจองและเว็บแรกที่ทำ ปรากฎว่าเขาดึงและพยายามไม่ยอมให้เว็บมันเสร็จเพื่อไม่จ่ายเงิน
B: ได้งานทำจบไป แต่ไม่จ่าย แล้วบอก ทำเพื่อมหาลัยให้นะลูก สรุปเจอ ไปลงเพจ 3 วันได้เงิน
Y: ไปขายงาน เจอคนจ่ายเงิน ไม่สนใจ นั่งเล่นมือถือ เพราะไม่ชอบตัวตนคนขายงาน
ก็จบกันไปสำหรับงาน Design Meeting ไว้ไปงานไหนจะกลับมาเขียนบอกเล่าให้ฟังกันอีกนะครับ สำหรับบทความนี้ขอบคุณครับ