วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ( 29/07/2012 ) ผมได้มีโอกาสไปงานที่ทาง Thumbsup จัดขึ้นครั้งแรกที่ Hubba ซึ่งเป็นงานแบบปิดต้องลงทะเบียนจองที่นั่งก่อน ครับแต่ผมไม่ทราบเลย นึกว่าเป็นงานแบบเปิดก็ไปโดยไม่รู้ จึงต้องรอให้ผู้ลงทะเบียนมากันก่อนผมจึงลงทะเบียนได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะ มันเป็นความผิดของผมเองที่ไม่ได้อ่านให้ละเอียดด้วย ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้คนได้เป็นอย่างนี้ เพราะเปิดให้ลงทะเบียนเพียง 4 ชั่วโมงที่นั่งก็ถูกจองจนเต็มเลยทีเดียว ! โดยตัวผมเองนั้นก็ร่วมงานอีกด้วยเย้ ! ซึ่งต้องบอกเลยว่างานนี้มีประโยชน์มากๆทั้งสำหรับคนที่อยากจะ Start up โปรเจคหรือแม้แต่คนที่มาฟังเฉยๆยังไม่ได้มีความคิดนี้เกิดขึ้นเลย เพราะว่า เทรนด์นี้จะต้องมาอีกแน่นอนภายใน 1 ถึง 2 ปีนี้ครับ
Thumbsup จัดงาน Start it up, Power it up!
กำหนดการต่างๆของงานผมคงจะไม่เขียนบอกนะครับ ท่านผู้อ่านสามารถดูได้ที่นี่เลยครับ รายละเอียด start it up, power it up ในบทความผมนี้ผมจะมาบอกเล่าว่าผมได้ประโยชน์อะไร หรือคำพูดที่วิทยากรพูดนั้นมีความน่าสนใจตรงไหนอย่างไรบ้าง เอาล่ะเราไปดูกันเลยดีกว่า Go Go Go ~
ช่วงที่ 1 เปิดตัว เปิดงาน
เป็นการพูดถึงเรื่อง start up และพูดถึงว่า Thumbsup นั้นก็ได้ก้าวมาจากการเป็น start up เช่นกัน โดยมีการเขียนข่าวที่น่าสนใจ เล่นข่าวที่เป็นประโยชน์ทั้งในและนอกต่างประเทศ ณ ตอนนี้นั้นทาง Thumbsup นั้นต้องเรียกได้ว่าเข้าถึงทุก Device เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น web, app, TV โดยช่องทาง TV นั้นได้รับความร่วมมือจาก springnews ( ซึ่งผมารู้ทีหลังว่าตัว spring news นั้นก็เป็น start up ทาง tv กลายๆ ) ซึ่งออกในชื่อรายการ Thailand can do ( ใครสนใจคลิก link ไปอ่านต่อเลยจ้า ) และได้ก้าวหน้าจนตอนนี้ได้มีการเป็น partner ship กับ techinasia และ e27 ซึ่งทั้งสองเว็บนั้นเป็นเว็บไซร์ที่กำลังมาแรงทั้งคู่ต้องขอปรบมือให้ดังๆ ให้กับ thumbsup ที่มาได้ขนาดนี้จริงๆ และนอกจากนี้ยังเป็นผู้สนับสนุนงาน Event ใหญ่ๆด้าน IT ที่มีจัดกันมาไม่นานหลายงานอีกด้วย
ช่วงที่ 2 สนทนาในหัวข้อ “Startup ไทยจะก้าวไกลระดับโลกได้อย่างไร” โดย @chyutopia @mimee
ในหัวข้อนี้มีแขกรับเชิญ 3 ท่านซึ่งเป็นมีประสบการณ์ด้าน start up และบางคนเป็น Investor อีกด้วยโดยแขกทั้ง 3 ท่านมีดังนี้
- Dr.Jay Jootar (Founder and CEO, The VC Group) ( ขอเรียกว่าคุณ J แล้วกันนะครับ )
- Mr. Kanadej Thamanoonragsa (Fund Manager of Shinapanja Corp.) ( ขอเรียกว่าคุณ Arm แล้วกันนะครับ )
- Mr.Patai Padungtin (Principal Evangelist from Builk Asia) ( คุณไผท หรือพี่โบ๊ท เจ้าเก่าเจ้าของคำฮิต Passion ตบเข่าฉาด ! )
พิธีกรถาม: ทำไม Tech Start up ในประเทศไทยนั้นถึงไม่เติบโต ?
คุณ J : บอกว่าคนจะเป็น Start up นั้นจะต้องมี 3 อย่างนั้นนั่นคือ
- ความรู้ความเข้าใจ Technology
- การเอา Product ไปขยายต่อได้ หรือเอาไปสร้างธุรกิจต่อ
- นักลงทุน
ในข้อแรกนั้นคุณ J บอกว่าคนไทยมีเยอะ เก่งเยอะอีกด้วย แต่ … ด้านอื่นๆยังขาด เช่น ทุกวันนี้คนไทยส่วนใหญ่นั้นถ้าไม่โดนซื้อตัวไปบริษัทใหญ่ๆ ก็ไปเป็นราชการกันหมด ( เพราะว่ามันสบายไงครับ อันนี้ผมคิด ) มีเรื่อง ใต้โต๊ะ และเรื่อง ผิดลิขสิทธิ์ ( อูยย …. แต่ละเรื่อง ) ติดใช้แบนด์นอก มีความรู้สึกว่าแบนด์คนไทยต่ำกว่า ( ทั้งๆที่ในความเป็นจริงนั้นคนไทยเราทำได้ตรงจุดมากกว่า อย่างวงในในบทความที่แล้วที่กล่าวไป )
ส่วนเรื่อง skill อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการ Start up นั้นในเมืองนอกจะเป็นการถ่ายทอดจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง ไม่ได้มีโรงเรียนเปิดสอน พวก skill ( การขาย, การตลาด, tech ด้านอื่น ) ซึ่งเมืองไทยมีไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จ ถ้ายกตัวอย่างก็พี่ไผทจาก Builk.com เนี้ยแหละ
ปัญหาเรื่องแนวคิดด้าน PlatForm ถ้ายกตัวอย่างก็เช่น สมมติคุณเป็น Freelancer แล้วทำเว็บให้ลูกค้า ทำบ่อยๆแต่คุณต้องมาเริ่มใหม่ตลอด 1 project = 1 website ตลอดไม่มีการคิดว่าทำอย่างไรจะสามารถจัดการให้มันเร็วกว่านี้โดยเป็น Platform มาแล้วลูกค้าคลิกๆเลือกเลยจบ เป็นต้น
คุณ Arm: คนไทยเก่ง ( ยังคงยืนยันคำเดิม ) แต่ปัญหาคือ แหล่งเงินทุน เราไม่รู้ว่าจะหาเงินจากไหน ? คุณจะกู้ธนาคารและเล่าความฝัน Start up ให้ธนาคารฟังมันก็ไม่เหมือนเล่าให้ VC หรือ Angel ฟังหรอกครับ เขาบอกว่ามีใครเคยบอกว่าถ้าจะคุยกับธนาคารมีกฎคือ No Land No Lone เพราะฉะนั้นความฝันของคุณอาจจะถูกปฎิเสธได้อย่างง่ายดาย
และยังขาดคนที่จะเป็นคนปลุกปั้นให้คำปรึกษา ไม่ใช่ว่าให้แต่เงินไม่ช่วยอะไร ซึ่งในจุดนี้หลายๆคนยังคงเข้าใจว่า VC/Angel จะให้แค่เงินซึ่งความจริงนั้นไม่ใช่อย่างที่เคยกล่าวไปแล้วว่า ทางเขาจะมีคนให้คำปรึกษาเราอีกด้วยว่าจะขยายได้อย่างไร ไปข้างหน้าได้ก้าวไกลกว่าเดิมได้อย่างไร
คุณพี่ไผท: เราอยู่สบายกันจนชิน ( แค่คำแรกก็เหมือนโดนไอ้ไม้หน้า 3 ตีแสกหน้าเลย ) เรามักจะมองตลาดแค่ประเทศไทยและ Happy กับคำว่า 70 ล้านคนซึ่งชาวบ้านที่อยู่แค่ Asia เขามองตลาด 500 ล้านคนนะครับ ให้เลิกคิดเกี่ยวกับกลุ่มภายในประเทศหันไปมองตลาดอื่นที่ใหญ่กว่ามีลู่ทางมากกว่า ศึกษาภาษาอังกฤษ ขอใส่ตัวเน้นๆเลย การที่เรามีภาษาไทยนั้นแค่เป็นกำแพงให้คนต่างประเทศเข้าถึงตลาดเรายาก แต่ไม่ได้หมายความว่าเราได้เปรียบอะไร
มองตลาดระดับ Region ( ภูมิภาค ) และเหมือนเดิมคือต้องมี Passion ( ตบเข่าฉาด ! )
พิธีกรถาม: Business อะไรที่ตอนนี้เหมาะกับคนไทย ?
คุณ J:
- social media กำลังฮิตมาก ! แต่มีคนทำเยอะมาก เป็น Red ocean มีปัญหาเรื่อง Cash Flow
- E-Commerce แต่ ณ ตอนนี้คนไทยยังคงใช้การซื้อของแบบเทียมอยู่คือตกลงกันในเน็ต แล้วโอนเงินผ่านธนาคาร
- Software As A Service ซึ่ง Mobile, Tablet เข้าถึงได้ง่ายแล้วน่าทำ
- VDO เป็น Content ใหม่แต่ทำได้ยาก copy ยากเหมือนกัน แต่มีอุปกรณ์ที่สามารถทำได้แล้วราคาไม่แพง
- TV ( ระยะยาวมากๆ ) Device นั้นได้พัฒนาแล้วการมาของ TV ก็จะเป็น Business ที่เหมาะ
- Energy ( ระยะยาวมากๆ ) น่าสนใจแต่คงต้องรออะไรๆมากกว่านี้
- เรื่อง Device ผลิตออกมาแก้ปัญหาบ้างอย่าง ราคาถูกลงแล้วสำหรับวัสดุ มองเทรนด์ดีๆ ตัวอย่างเช่น Case Iphone ที่มีแบบเยอะเยะแบบกันกระแทก ฯลฯ
พิธีกรถาม: การเป็นเจ้าของ Business แล้วมี VC/Angel มาแบ่งสัดส่วนหุ้นไป มุมมองเป็นอย่างไร ?
คุณ Arm:
เขาสมมติเรื่องการปลุกส้ม ถ้าคุณมีความสามารถปลูกต้นส้มที่อร่อยมาก แต่ … คุณสามารถปลูกได้ทีละต้นเท่านั้น และ VC บอกว่าเขาจะมาช่วยทำให้การปลูกของคุณเป็นการปลูกระดับทำสวนส้มเลย ไม่ใช่แค่ปลูกทีละต้น VC/Angel ไม่ได้ต้องการมาแย่งความเป็นเจ้าของของคุณแต่มาช่วยเหลือคุณ นั่นเป็นอีกข้อดีที่ธนาคารไม่มีให้คุณ VC/Angel มีทั้งคนที่มีประสบการณ์บอกคุณได้ว่าต้องทำระดับน้ำเท่าไร ไร่หนึ่งควรจะปลูกกี่ต้น ซึ่งสิ่งพวกนี้คุณไม่ต้องไปเสียเวลาลองผิด ลองถูกเอง
พิธีกรถาม: คิดว่ามี VC ที่จะช่วยเราไประดับโลกได้ไหม ?
พี่ไผท: ภาพแรกนั้นต้องทำให้ธุรกิจของเรานั้นเป็นตัวดำ ( ไม่ใช่ตัวแดงนั่นหมายถึง ติดลบ ) มีภาพชัดเจนว่าเป้าหมายของเราเป็นอย่างไร และถ้ามี VC ที่ช่วยให้เราไปสู่เป้าหมายนั้นที่เราตั้งได้เร็วขึ้นก็น่าลอง
พิธีกรถาม: จุดเปลี่ยนเรื่อง VC ( สำหรับพี่ไผท )
พี่ไผท: อยากทำ Business ที่ scale ได้ ( รองรับการขยาย ) อยากเปลี่ยนแปลงวงการก่อสร้าง อยากทำให้พัฒนา อยากเห็นวงการไทยไประดับโลก เห็นโอกาสต่อยอดความฝัน
พิธีกรถาม: อยากฝากอะไรทิ้งท้ายไหมสำหรับทุกคนที่มาวันนี้ ?
พี่ไผท: Research เองพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ใน Internet มีของดีมากๆ ใครทำได้ดีไปดูว่าเขาทำอย่างไร Learning by Doing
คุณ Arm:
Start up เป็นอะไรที่เหนื่อย แต่ … อย่าท้อครับ
คุณ J:
เรามี Skill กันอยู่แล้ว แต่อย่าลืมด้าน Business ด้วยแล้วกัน
เอาล่ะครับหลังจากจบช่วงนี้จะเป็นการพัก 15 นาที โดยครึ่งหลังจะเป็นเกี่ยวกับเรื่องมุมมองของ VC จากสิงคโปร์ซึ่งมาจาก e27 และเป็นการแยกห้องเพื่อไปเรียนรู้อันที่ตัวเองสนใจ
เอาล่ะครับหลังจากที่เราพักหายใจหายคอกัน 15 นาที บ้างก็แลกเปลี่ยนความคิด บ้างก็ได้เจอเพื่อนใหม่ในวงการ start up เหมือนกัน มันทำให้สถานที่ Hubba เต็มไปด้วยความหวังและปลุกไฟ ให้แต่ละคนอย่างเห็นได้ชัดเจน เรียกได้ว่าการมางานครั้งนี้ของผมนั้นไม่เสียโอกาสเลยจริงๆ โดยของว่างพักเบรค ยังเป็นของ start up ที่เกี่ยวกับขนมเลยครับ
ขอบอกเลยว่าอร่อยมาก!! ยืนยันได้จาก อ. ศุภเดช ( @ripmilla ) เลยทีเดียว เอาล่ะงั้นเราไปเริ่มช่วง 3 กันต่อเลยเดี๋ยวเสียอารมณ์กันซะก่อน : )
ช่วงที่ 3 (แนะนำ e27 และสนทนาอัพเดตทิศทางล่าสุด startup ในภูมิภาคเอเชีย) โดย @chyutopia @mimee
ช่วงนี้ได้แขกรับเชิญที่บินจากสิงคโปร์โดยเป็นคนของ e27 ชื่อว่า Mr. Gabriel Yang โดยเป็น Section ภาษาอังกฤษ แล้วมีพิธีกรค่อนสรุปให้สำหรับคนที่ฟังอังกฤษไม่ออกถือว่าโชคดีมาก ( ไม่งั้นผมฟังไม่ทันจริงๆ )
โดยคุณ gabriel นั้นได้มาพูดถึง e27 ว่าทำอะไรบ้าง เติบโตมาได้อย่างไร โดยเริ่มจากการเขียนบล็อก คล้ายๆ Thumbsup นั้นแหละแล้วก็เริ่มเติบโตจนมองเห็นโอกาสที่จะจัดงาน event นั้นคือ Echelon ซึ่งเป็นเวทีให้กับ start up ได้มาแข่งขันและได้แลกเปลี่ยนความคิดของแต่ละคนกัน โดยคุณไผทก็ไปชนะในงานนี้ด้วย ( wow !! ) โดยเขาได้บอกว่าในช่วงแรกนั้นลำบากมาก สิ่งที่เขากินคือ … มันคล้ายๆกับหัวปลา คล้ายปลากระป๋องบ้านเราแหละ เขาบอกว่าเขาต้องกินอย่างนี้ไป 6 เดือน และในตอนนั้น ทางรัฐบาลของเขานั้นยังไม่มี eco system ที่จะมาช่วยเหลือเกี่ยวกับ start up ด้วย
โดยถามว่าท้อไหม เขาก็บอกว่าท้อนะ แต่ก็ยังทำต่อไม่ยอมแพ้ และเมื่อปี 2009 นั้นเขาได้เข้าร่วมจัดกิจกรรมกับพวกแบนด์ใหญ่ๆ จนปีต่อมาจึงจัดงาน Echelon นั่นเอง เขามองเห็นคนที่มีความสามารถเยอะมาก และเริ่มมองเห็นแสงสว่างที่เป็นโอกาสของตัว e27 อีกด้วยที่จะก้าวไปสู่ระดับภูมิภาค ( Regional ) ข่าวที่เขาเขียนลงบล็อกตอนแรกๆนั้นเป็นเฉพาะกลุ่มมากๆ และถึงมีช่วงหลังๆนั้นเพิ่งจะมี ไต้หวันและญี่ปุ่นมาตามอ่านเหมือนกัน โดยงาน Echelon ปีที่จัดล่าสุดมีผู้มาร่วมงานประมาณ 1,000 คน ( ถือว่าเยอะมากๆนะครับ ) เพราะตัวเขาเองบอกว่าในปีแรกที่จัดนั้นมีแค่ 3 โปรเจคกับคนอีกประมาณ 50 คนเท่านั้นคุณคิดดูภายใน 2 – 3 ปีจัดงานใหญ่ได้
สิ่งที่เขามองเห็นและจุดประสงค์ของงานก็มีดังนี้
- เป็นสถานที่ได้แลกเปลี่ยนไอเดีย เพราะไอเดียบางคนมันเจ๋งแต่ต้องให้คนอื่นช่วยปรับๆให้มันเข้าที่
- บางคนที่ไอเดียเจ๋งแต่ยังนำเสนอไอเดียได้ไม่ดี งานนี้จึงเป็นดังเวทีให้มาเก็บเกี่ยวประสบการณ์
- ได้เจอคนที่ start up เหมือนๆกัน
คำถามว่าทำไมเราถึงต้องไประดับภูมิภาค
- เพราะเราได้เห็นการเติบโตที่สามารถไปสู่ระดับนั้นได้ เขาบอกว่าคนขายขนมปังปิ๊งยังไประดับนั้นได้เลยทำไมเราจะทำไม่ได้
- เขาอยาก Giving Back คล้ายๆกับแบ่งปันสิ่งดีๆกลับคืนสู่สังคมบ้าง
- ได้เดินทาง ( ฮา เหมือนจะพูดเล่นแต่นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุจริงๆนะเออ ! )
Q&A
ถาม: ในช่วง 6 เดือนที่ Fail นั้นมีการผลักดันตัวเองอย่างไรให้ผ่านจุดนั้นมาได้ ?
ตอบ: เขาบอกว่าทุกๆครั้งที่มีความคิดจะท้อ จะเลิกเราจะมีสองทางเลือกเสมอนั่นคือ ทำต่อ หรือว่า เลิกทำซึ่งในกลุ่มก็พยายามขับเคลื่อนต่อไปให้ได้ ไม่ยอมแพ้และมองเห็นจุดหมาย
ถาม: มีตัวอย่างที่สำเร็จในงาน Echelon บ้างไหมครับ ?
ตอบ: 10 Q อันนี้ผมฟังไม่ชัดว่าใช่หรือเปล่า เป็น start up ทำ Mobile Security โดยตอนนี้ Mcafee ซื้อไปแล้วคงหลายตังค์อยู่แหละ ตัวอย่างในประเทศไทยก็พี่ไผทจาก Builk.com เนี้ยแหละ
ถาม: มีคำแนะนำอะไรให้กับ Start up ไทยบ้าง ?
ตอบ: หาคนที่เหมาะสมกับเรา ให้ลองไปที่ Linkedin ถ้าคุณยังไม่สร้าง Account ก็สร้างซะเลย และเกือบทุกคนที่เป็นวิทยากรนั้นยังคงเน้นย้ำว่า ภาษาอังกฤษโครตสำคัญ ให้เราหัดอ่านเนื้อหาอย่างอื่นบ้างไม่ใช่จะอ่านแต่ Tech กันอย่างเดียว ให้ดูความเปลี่ยนแปลงรอบตัวเราด้วย
มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ แต่ ! … ความมุ่งมั่นกับความดื้อที่จะทำมันมีเส้นบางๆอยู่ ฉะนั้นต้องหาคนมาช่วยตบความคิดเราด้วย
คุยกับพวก VC/Angel บ่อยๆจะได้ไอเดียในระดับใหญ่ และมองหา VC/Angel ที่เหมาะสมกับเราจริงๆ
หากใครอยากติดต่อเขาก็ได้ที่ [email protected] หรือ @gabtwitx
ช่วงต่อไปนั้นเป็นช่วงสุดท้ายซึ่งต้องแยกห้องกันให้เลือกระหว่าง 2 หัวข้อคือ
- ทิศทาง startup ไทย ทำอย่างไรให้เติบโต? (Moderator : @jakrapong)
- Business Model Startup แบบไหนถึงเวิร์ค? (Moderator : @charathbank)
ซึ่งผมเลือกหัวข้อ Buusiness Model Startup แบบไหนถึงเวิร์คครับส่วนตัวคิดว่าหัวข้อแรกน่าจะเป็นคนที่ได้เริ่ม Start up ไปบ้างแล้วจึงคิดว่าหาไอเดียน่าจะเหมาะกว่า และได้เจอ @dominixz มานั่งคุยกันในห้องนี้ด้วย แต่อีกหัวข้อก็น่าเสียดายไว้ถ้ามีคนเขียนถึงหัวข้อนี้ผมจะมาแชร์ให้อ่านนะครับ ; )
ช่วงที่ 4 Business Model Startup แบบไหนถึงเวิร์ค ? โดย @charathbank
จริงๆมีวิทยากรอีกคนคือ พี่ไผทหรือพี่โบ๊ทเจ้าเดิมมาร่วมแจมด้วยอีกคน โดยหัวข้อนี้จะเป็นการ sharing Idea กันโดยใครมีไอเดียอะไรก็นำเสนอกันเต็มที่ พี่แบงค์ ( @charathbank ) บอกว่าไม่ต้องกลัวคน copy เพราะว่าถึงทำเสร็จแหม่งก็มีคน copy อยู่ดี ( ฮา ) หัวข้อที่พี่แบงค์เตรียมมานั้นมีตัวอย่างของ Business Model ให้ดู 5 ตัว เดี๋ยวผมจะไล่ให้ดูนะครับ และก็แนะนำเกี่ยวกับเรื่อง Good Business Model ว่าส่วนใหญ่ Dev ไม่ค่อยจะคิดกันเท่าไร ( ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ ) สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ
- Clear ว่าเราจะขายใคร อะไร เท่าไร อย่างไร
- Correct and reusable คิดมาแล้วต้องใช้ได้จริงและสมเหตุสมผล
- คิดถึงภาพรวมมุมมองด้าน User เพราะเวลาเราคิดอะไรชอบคิดเข้าข้างตัวเอง ให้ถามคนใช้ ถามคนอื่นบาง คุณจะขายเขาคุณก็ควรจะรู้จากเขาบอกว่าต้องการอะไร แต่ … ไม่ใช่ทั้งหมด
- Innovation สิ่งที่พัฒนามาจะเกิดขึ้นได้จริงๆใช่หรือไม่
ส่วนตัวอย่าง Business Model นั้นมีอยู่ 5 ตัวคือ
- Brick to Click พูดง่ายๆคือเปลี่ยนจาก offline สู่ online อะไรที่มันเป็น manual ก็จัดมาทำแบบ click ซะ
- Information Delivery คือ การส่ง Content ทุกอย่างให้ถึงมือเร็วๆ ทำอย่างไรให้ Content มีมูลค่าขายได้
- Online Shopping / Auction Business Model คือ พวกแนวๆให้ข้อมูล shopping ที่ไหนถูกที่สุดในวันนี้ วันข้างหน้ามีอะไร Sale ข่าวสารโปรโมชั่น
- Subscription Business Model แนวเก็บรายเดือน สมัครสมาชิกแล้วก็เก็บรายเดือน ใช้โปรแกรมนี้แล้วเก็บรายเดือน
- Razor and Blade Business Model ตรงๆก็คือให้มีดโกนกับคนไปก่อนวันหนึ่งถ้ามีดโกนไม่คมหรือเสีย เขาก็ต้องมาซื้อเราอีก แนวให้ของก่อนเก็บเงินทีหลัง
อันสุดท้ายจะคล้ายๆกับ Freemium แต่ไม่เหมือน Freemium นั้นจะเป็นการให้ฟรีเลยแต่ไปเก็บค่าบริการอย่างอื่นเช่น ให้ iphone ไปเลยและคุณมาใช้ Data ของเรานะประมาณนั้น
มีคนถามว่า: ถ้าสิ่งที่เราคิดหรือโปรเจคของเรานั้นมันยังไม่ถึงเวลาของมัน เราควรจะทำอย่างไรดี ?
พี่ไผท: ก็ต้องหาเงินมาเป็น run way ไปเรื่อยๆ แล้วพี่เขาก็ยกตัวอย่างมาว่าที่เมืองนอก มีบางโปรเจคยังขอเงินมาหลายปีแหละ ยังมีเลย ส่วนมันจะมีเรื่อง Moment ที่จะทำต่อไม่ทำต่อด้วย เขาได้เล่าต่อว่า …
ก่อนจะมาทำ Builk.com นั้นเขาได้ทำ ERP มาก่อน ตอนแรกกะไว้ว่าจะขายแค่ 5 – 6 หมื่น แต่ก็เจอปัญหาเจอเช่น แก้ไขยาก bug เยอะ ขายยาก ตอนแรกกะว่าจะลงทุน 1 ล้านบาท ไปๆมาๆเสียไป 2 ล้านบาทซะงั้น
ตอนแรกกะว่าจะทำ Builk.com เป็น subscription แต่เจอศพโปรแกรมบัญชี online ซะก่อนเลยไม่กล้าทำ ( ศพ ในที่นี้หมายถึงโปรแกรมที่มันขายไม่ออกแล้ว เจ๊ง ! ) ซึ่งมันมีเยอะมากๆ ขนาดแผนแรกที่เขาคิดแล้วไปชนะที่จุฬาด้วยนะเออ ! พี่เขายังไม่ใช้เลยและหันมาให้ใช้ FREE !!! เพราะเขาบอกว่าได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือเล่มหนึ่ง และตอนนั้นเพิ่งมารู้จัก Page View ซึ่งทำงานเสร็จหมดแล้ว ไม่ทราบว่าต้องใช้ด้วยและเพิ่งทราบว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่พี่เขาก็ไม่ได้ขายกันที่ Page View เขาไปขายอย่างอื่น … นั่นคือ
User usage time เวลาที่เขาใช้กับหน้าเว็บของเขา ( ซึ่งตรงจุดนี้ผมประทับใจมาก การที่คนเราอยู่จะมีแนวคิดอย่างอื่นจากกรอบที่ตัวเองคิดเนี้ยมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะครับ ) ซึ่งใช้เวลาเฉลี่ยถึง 33 นาที อย่างเว็บผม อยู่ถึง 10 วิหรือเปล่ายังไม่รู้เลยแต่เฮียแกเคลมตรงนี้ได้ ซึ่งเขาบอกว่า เราอย่างคิดจะวิ่งนำหน้ากับคนที่วิ่งนำหน้าเร็วที่สุด แต่ให้คิดว่าบางทีเราอาจจะเป็นคนที่วิ่งถอยหลังเร็วที่สุด ( ก็เป็นด้ายยยยยย ) ชอบมาก ไอเดียนี้
มีคนแชร์ไอเดียว่า: เพื่อนของเขานั้นทำเว็บซื้อขายถุงยางก่อนที่รัฐบาลจะรณรงค์ ซึ่งดันมีคนยอมซื้อแค่ 1 อันราคา 10 บาทแต่ค่าส่ง 50 บาท ( เอ่อ คิดดูสิว่าทำไม ? )
พี่ไผทบอกต่อว่าให้เอาโลกของคนอื่น ( ในที่นี้หมายถึงว่ามีคนอื่นทำงานอย่างอื่น พี่ไผทแกเคยไปเรียนรู้พวกเครื่องสำอางค์ด้วยนะเออ ! ) มาใส่โลกที่เราถนัดบ้าง เราอาจจะได้ไอเดียใหม่ๆ มา และจะนำมาซึ่งลูกค้าหลายๆประเภทเช่นกัน
มีคนแชร์ว่า: มีเว็บที่ทำใช้คูปองมาเป็นกองกลางแล้วให้ช่วยกันซื้อสินค้าตัวหนึ่งมาเช่น มีสินค้าอยู่ตัวหนึ่งบอกว่าจะซื้อตัวนี้ต้องมีคนซื้อคูปองเท่านี้นะแล้วจะสั่งทำ อะไรทำนองเนี้ย
พี่ไผทบอกต่อว่า เราไม่ได้ทำ App ไปขายแต่เราทำ Business Model ไปขาย มองหาโอกาสใหม่ๆ ตลาดใหม่ๆ สนใจเหตุการณ์รอบตัวบ้าง
มีคนแชร์ว่า: เคยเห็น game online ที่เปิดให้เล่นฟรีด้วย โดยเอารายชื่อข้อมูลของคนเล่นไปซื้อหรือว่า ไปใช้ต่ออีกที ( เอ่อ เข้าท่าแต่ว่าจะไม่ถูกฟ้องหรือเปล่าไม่รู้แฮะ )
พี่ไผทบอกว่าบางโปรเจคคิดว่าเราขายได้ แต่จริงๆแหม่งขายไม่ได้ ถ้าเราไม่ไปถามคนที่เราจะขายจริง ( เน้นกันอีกที ) ต้องมี Trick ในการนำเสนองาน อย่าง Builk.com ตอนแรกก็ไปของบ CSR เอ่อ เอากับเขาสิ ต่อมากินงบ Marketing
ต่อมามีคนเสนอไอเดียที่ผมคิดว่าเจ๋งมาก แต่บอกไม่ได้จริงๆ ถือว่าเป็นกำไรชนิดที่ว่าคนไปฟังเท่านั้นถึงจะได้จุดตรงนี้ อิอิ ซึ่งสรุปมาได้จากสิ่งนั้นคือ ไอเดีย + timing + มุมต่าง และที่สำคัญคือ ต้อง …
ลงมือทำ !!!!!
ไม่มี Dev ก็หาก็จ้างซะไม่ใช่ว่าจะรอให้ใครมาทำให้ มีความคิดใครก็พูดได้แต่ลงมือทำ มันคือของจริงครับ ทำมันขึ้นมาให้ได้
ก่อนจะจบบทความนี้ ผมก็อยากบอกว่า ใครที่อยากทำ Start up นั้นไม่ใช่ของง่ายหรือยาก มันอยู่ที่ว่าจะลงมือทำเมื่อไหร่ มีความมุ่งมั่นมากแค่ไหน ไม่ใช่ว่าทำแล้วจะรีบออกขายได้แล้วพอ เพราะว่าถ้าคุณก้าวไปถึงจุดที่ขายได้จริงๆ คุณเลิกไม่ได้หรอก แล้ววันนี้ ตอนนี้ ณ วินาทีนี้คุณคิดอะไรอยู่ อยากทำอะไรไหม ? เริ่มลงมือทำมันหรือยัง ? มีไอเดียแล้วก็หาเพื่อนคุยเลยสิ อย่ารอช้า อย่าคิดว่าไม่ดี ถ้าคุณยังไม่ได้คุยกับคนอื่น เอาล่ะผมเองก็คงต้องเริ่มทำบ้างแล้ว ไปงานนี้ไม่เสียหลายจริงๆ ได้ไฟกับมาพร้อมกับอีก 1 โปรเจคด้วย ถือว่าโชคดีจริงๆ
Credit:
- ขอบคุณรูปสวยๆจาก @kktp ติดตามเขาได้เลยที่ http://facebook.com/ktpphoto ด้วยนะครับที่อนุญาตให้ผมเอามาเติมแต่งบล็อก เพราะผมเองคงไม่สามารถถ่ายรูปสวยๆอย่างนี้ได้เลย
- ขอบคุณ Hubba สำหรับสถานที่ดีๆ ที่อบอุ่นและเป็นกันเอง ห้องเรียน ห้องประชุมที่น่าใช้ไปหมด
- ที่สำคัญต้องขอบคุณ Thumbsup ครับที่ทำให้เกิดงานดีๆอย่างนี้ขึ้น และหวังว่าครั้งต่อๆไปผมจะได้มีโอกาสไปร่วมงานอีกครับ
Credit
- ขอบคุณ thumbsup สำหรับข้อมูล
- ขอบคุณ Hubba Thailand สำหรับรูปภาพ